วัดโคธาราม

ประวัติหลวงพ่อฟ้าลั่น  วัดโคธาราม

บ้านโนนสว่าง หมู่ 7 ตำบลจำปาโมง  อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี

ย้อนไปเมื่อ 479 ปี  บ้านเมืองพานในสมัยก่อนนั้นมีพระภิกษุรูปหนึ่งนามว่า  ลืมบอง หรือ ญาครูขี้หอม

ท่านเกิดที่เมืองพานซึ่งในปัจจุบันคือ   บ้านกาลึม ต.เมืองพาน อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี     ท่านได้อุปสมบทที่เมืองเวียงจันทน์ ประเทศลาว จากนั้นได้กลับมาจำพรรษาที่บ้านเกิด  ครั้งหนึ่งท่านได้ข้ามไปฝั่งลาว แล้วพักจำวัดในวัดแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชแห่งประเทศลาว  ในคืนนั้นสมเด็จพระสังฆราชได้ทรงนิมิต(ฝัน) เห็นช้างเผือกได้เข้ามาในวัดแล้วทำลายตู้พระไตปิฎกเสียหายจนหมดสิ้น       เมื่อสมเด็จทรงตื่นก็ได้ทบทวนพิจารณาถึงนิมิตอันน่าอัศจรรย์ ก็ให้นึกถึงพระภิกษุที่มาจากฝั่งไทย สมเด็จท่านทรงเฝ้าดูพฤติกรรมพระภิกษุลึมบอง           จนในที่สุดไม่ปรากฏข้อปฏิบัติที่ไม่ดีเลย ท่านสำรวมใฝ่ศึกษาและปฏิบัติจนเป็นที่เคารพเลื่อมใสของหมู่พระสงฆ์และชาวบ้าน ท่านศึกษาอยู่ในประเทศลาวเป็นเวลานานจนได้รับการสถาปนาให้เป็นสมเด็จพระสังฆราชประเทศลาว ในปี  พุทธศักราช 2063 ท่านได้เสด็จกลับเมืองพาน ในบ้านลึมบองเมืองพานฯ มีท่านชีผ้าขาวผู้เคร่งครัดในทางปฏิบัติได้ปักกลดปฏิบัติกัมมัฎฐานอยู่ ท่านชีผ้าขาวท่านนี้นามว่า บุญมี  ท่านได้อาราธนานิมนต์สมเด็จฯ    ให้มาดูวัดร้างพร้อมปักกลดปฏิบัติธรรมเจริญกัมมัฎฐานอยู่ที่วัดแห่งนี้   7 วันพอสิ้นวันที่ 7 สังฆราชก็ให้ชีผ้าขาวนั่งทางใน อธิษฐานเพื่อขอสร้างพระพุทธรูป  ดังนั้นการสร้างพระพุทธรูปจึงเริ่มขึ้น เมื่อวันพุธ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ปี พุทธศักราช 2063 โดยสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน ในการก่อสร้างเป็นไปด้วยความยากลำบาก   ชาวบ้านต้องเดินจากหมู่บ้านมาสถานที่ก่อสร้าง แล้วก็มาขุดดินและปั้นดินเพื่อเผาแล้วจึงนำมาก่อสร้าง สิ่งที่น่าอัศจรรย์คือ ในขณะที่ชาวบ้านก่อพระพุทธรูปจวนจะเสร็จได้เกิดฟ้าคะนองฝนตกทำให้การก่อสร้างชะงักลง   ทั้งมีฝนตกทั้งๆที่ไม่ใช่ฤดูฝน ทำให้ปูนขาวกับยางบงไม่แห้ง สมเด็จสังฆราชเห็นความอัศจรรย์จึงได้ตั้งสัจจ์อธิษฐานว่า ถ้าพระพุทธรูปนี้จะมีความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่พึ่งที่เคารพบูชาในภายภาคหน้าขอให้ข้าพเจ้าพร้อมด้วยคณะก่อสร้างแล้วเสร็จโดยเร็ว   อย่าได้มีอุปสรรค และขอให้ฝนหยุดตก แล้ว จะเรียกชื่อพระพุทธรูปองค์นี้ว่า หลวงพ่อฟ้าลั่น   พอสิ้นคำอธิษฐาน ฝนที่ตกอยู่ก็หยุดลงทันที    คณะชาวบ้านจึงก่อสร้างพุทธรูปจนแล้วเสร็จสมบูรณ์  เมื่อ วันพุธ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 9 พุทธศักราช 2065    รวมก่อสร้างเป็นเวลา 2 ปี 2 เดือน สมเด็จจึงได้ตั้วชื่อพระพุทธรูปนั้นว่า  หลวงพ่อฟ้าลั่น  ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน   ปัจจุบันชาวบ้านยังถือปฏิบัติต่อหลวงปู่ฟ้าลั่นมิได้ขาดคือเมื่อถึงเดือนหก    ชาวบ้านจะร่วมกันทำบุญบั้งไฟเพื่อเป็นการจุดบูชาหลวงพ่อฟ้าลั่น      เพราะเชื่อว่าในเมื่อได้บูชาบั้งไฟแก่หลวงพ่อฟ้าลั่นแล้วหลวงพ่อฯจะบันดาลฝนมาให้ชาวบ้านได้ทำนากัน   ความเชื่อนี้ได้กลายเป็นประเพณีให้ชาวบ้าน ได้ถือปฏิบัติกันมาจนถึงปัจจุบัน หลวงพ่อฟ้าลั่นมีอายุได้    479 ปี และยังคงความอัศจรรย์และศักดิ์สิทธิ์เป็นที่สักการะบูชาของชาวบ้านและมหาชนโดยทั่วไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *